
รุ่นน้ำหนักมวย one championship สำหรับพิกัดน้ำหนักของ ONE Championship จะแตกต่างจากองค์กรอื่นๆ ที่จัดการแข่งขันการต่อสู้ โดย ONE ไม่อนุญาตให้นักกีฬาลดน้ำหนักด้วยวิธีการตัดน้ำออกจากร่างกาย แต่เลือกใช้วิธีที่ได้รับการปรับปรุงขึ้นมาใหม่ เพื่อให้นักกีฬาที่ทำการแข่งขันไม่ขาดน้ำ แต่ต้องมีรูปร่างที่สมบูรณ์และแข็งแรง และมีสุขภาพที่ดีตลอดการแข่งขัน และวิธีการใหม่ที่ ONE นำมาใช้ในการแข่งขันเป็นที่แรก คือเน้นให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของนักกีฬา ด้วยการใช้ “น้ำหนักปกติ (walking-weight)” เป็นเกณฑ์ โดยจะมีการชั่งน้ำหนัก และทดสอบระดับน้ำในร่างกายทั้งก่อนและระหว่างสัปดาห์ที่มีการแข่งขัน
รุ่นน้ำหนักมวย one championship คืออะไร ดูยังไง ?
- เฮฟวีเวต : มากกว่า 225 ปอนด์ และไม่เกิน 265 ปอนด์
- ไลต์เฮฟวีเวต : มากกว่า 205 ปอนด์ และไม่เกิน 225 ปอนด์
- มิดเดิลเวต : มากกว่า 185 ปอนด์ และไม่เกิน 205 ปอนด์
- เวลเตอร์เวต : มากกว่า 170 ปอนด์ และไม่เกิน 185 ปอนด์
- ไลต์เวต : มากกว่า 155 ปอนด์ และไม่เกิน 170 ปอนด์
- เฟเธอร์เวต : มากกว่า 145 ปอนด์ และไม่เกิน 155 ปอนด์
- แบนตัมเวต : มากกว่า 135 ปอนด์ และไม่เกิน 145 ปอนด์
- ฟลายเวต : มากกว่า 125 ปอนด์ และไม่เกิน 135 ปอนด์
- สตรอว์เวต : มากกว่า 115 ปอนด์ และไม่เกิน 125 ปอนด์
- อะตอมเวต : มากกว่า 105 ปอนด์ และไม่เกิน 115 ปอนด์
ระบบการชั่งน้ำหนัก และการวัดระดับน้ำในร่างกายของ ONE ทำงานอย่างไร?
ระบบการชั่งน้ำหนักของ ONE ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่นี้ ถูกกำหนดขึ้นหลังจากการพูดคุย และหารือกัน จากคำแนะนำโดยทีมแพทย์และทีมจัด การแข่งขันวัน แชมเปียนชิพ ประกอบด้วย “Dr.Warren Wong” รองประธานฝ่ายบริการการแพทย์ , “Dr.James Okamoto” หัวหน้าที่ปรึกษาทางการแพทย์ , “Matt Hume” รองประธานอาวุโสฝ่ายการแข่งขัน และ “Rich Franklin” รองประธาน
โดยปกติน้ำหนักของนักมวยในช่วงการซ้อมประจำวัน จะเรียกว่า “น้ำหนักปกติ” และ ONE จะกำหนดรุ่นน้ำหนักของนักกีฬา และเสนอให้แข่งขันโดยพิจารณาให้สอดคล้องกับ “น้ำหนักปกติ” อย่างเคร่งครัด และจะต้องเห็นตรงกันทั้งสองฝ่าย และเมื่อนักชกมาเก็บตัวในช่วงสัปดาห์ที่มีการแข่งขันจะต้องทำการชั่งน้ำหนัก โดยจะต้องมีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์น้ำหนักของรุ่นที่ตกลงแข่งขัน และในช่วงใก้ลแข่งขัน จะมีการชั่งน้ำหนักและวัดระดับน้ำในร่างกายของนักมวยทุกคน ในการวัดระดับน้ำในร่างกาย ONE จะตรวจสอบจากปัสสาวะ ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญด้านงานแพทย์ หากค่าความเข้มข้นของปัสสาวะที่วัดได้น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1.0250 ถือว่านักกีฬาผ่านการวัดระดับน้ำในร่างกาย และทำการชั่งน้ำหนักตัวได้ โดยน้ำหนักตัวของนักมวยแต่ละคนจะต้องอยู่ในเกณฑ์น้ำหนักในรุ่นที่ตกลงแข่งขันกัน ประเภทน้ำหนัก (มวย)
ในกรณี รุ่นน้ำหนักมวย one championship ไม่ผ่านต้องทำยังไง
ในกรณีที่นักกีฬาที่ไม่ผ่านการวัดระดับน้ำในร่างกาย ในการชั่งน้ำหนักตัวในสองครั้งแรก จะต้องทำการชั่งน้ำหนัก หรือวัดรัดับน้ำในร่างกายใหม่ในวันที่แข่งขัน และหากนักกีฬาไม่ผ่านการวัดระดับน้ำในร่างกาย หรือชั่งน้ำหนักตัวไม่ผ่านอีกทาง ONE จะไม่อนุญาตให้ลงแข่งขัน และในกรณีที่นักกีฬาวัดระดับน้ำในร่างกายผ่าน และมีน้ำหนักตัวเกินกว่ารุ่นที่ชก คู่ที่ทำการแข่งขันด้วยจะได้รับข้อเสนอให้ชกในพิกัดเฉพาะ (Catch Weight) โดยนักกีฬาจะต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 105% ของน้ำหนักของคู่ชก และจะต้องได้รับความยินยอมจากคู่ชกด้วย นอกจากนี้ยังจะต้องมีการเจรจาเรื่อง “การชดเชยค่าน้ำหนัก” (ซึ่งหักจากค่าตัวที่ได้รับ) ตามแต่ที่ตกลงกันทั้งสองฝ่าย และหลังการชกทาง ONE จะมีการชั่งน้ำหนักตัวนักชกอีกรอบ และหากน้ำหนักเกิน 105% ของพิกัดที่ตกลง จะมีบทลงโทษคือ
- 6.1 ฝ่าฝืนครั้งแรก – ได้รับการตักเตือนอย่างเป็นทางการ
- 6.2 ฝ่าฝืนครั้งที่ 2 – ปรับ 25% จากรายได้รวมไฟต์นั้น
- 6.3 ฝ่าฝืนครั้งที่ 3 – ปรับ 50% จากรายได้รวมไฟต์นั้น และถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขันในรุ่นน้ำหนักนี้อย่างถาวร และต้องเลื่อนขึ้นไปแข่งขันในรุ่นที่สูงกว่า
กติกาการแข่งขัน และวิธีได้รับชัยชนะของ ONE Championship
กติกาONE Championship ใช้กฎกติกาการแข่งขันแบบสากล ซึ่งผสมผสานแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดจากทั้งในเอเชียและทั่วโลกเข้าด้วยกัน โดยนักกีฬาทุกคนจะต้องสวมนวม MMA ขนาด 4 ออนซ์ในการแข่งขัน
ระยะเวลาแข่งขัน : การแข่งขันแต่ละคู่มีกำหนด 3 ยก ยกละ 5 นาที และมีการพัก 1 นาทีระหว่างยก ส่วนการแข่งขันชิงแชมป์โลกมีกำหนด 5 ยก ยกละ 5 นาที และมีการพัก 1 นาทีระหว่างยก
การชนะโดยการตัดสิน : เมื่อทำการชกจนครบทุกยก จะเข้าสู่ขั้นตอนการตัดสินโดยกรรมการทั้ง 3 คน จะตัดสินจากภาพรวมของการแข่งขันทั้งหมด โดยนำเกณฑ์การตัดสินมาจัดลำดับเพื่อชี้ขาดผู้ชนะจากการแข่งขันครั้งนั้น
วิธีได้รับชัยชนะ
- การชนะน็อก
- การชนะ TKO โดยกรรมการ แพทย์สนาม หรือพี่เลี้ยงสั่งยุติการแข่งขัน
- การซับมิชชัน (Submission)
- การซับมิชชัน TKO โดยกรรมการ แพทย์สนาม หรือพี่เลี้ยงสั่งยุติการแข่งขัน
- การตัดสินของกรรมการ
- การตัดสินทางเทคนิค
- ผู้แข่งขันขอยอมแพ้ด้วยวาจา
- การตัดสิทธิ์
เกณฑ์การพิจารณา
- การทำให้คู่ต่อสู้อยู่ในสภาพใกล้เคียงกับการถูกน็อกเอาต์ หรือซับมิชชัน
- ความเสียหายจากการต่อสู้ (ภายใน , สะสม , บาดแผลที่เห็นได้ชัด)
- ความต่อเนื่องในการโจมตี และยุทธวิธีบนสังเวียน (การคุมเกมภาคพื้น , ตำแหน่งที่ได้เปรียบกว่า)
- การทำให้คู่ต่อสู้ลงพื้น (Takedown) และการป้องกันตัวเองจากการเทกดาวน์
- ความดุดันในการต่อสู้